ตำบลหนองหนาม อยู่ห่างจากจังหวัดลำพูนประมาณ 14 กิโลเมตร ทิศเหนือติดต่อกับ ตำบลป่าสัก ตำบลเวียงยอง ทิศใต้ ติดต่อกับตำบลเหมืองจี้ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลป่าสัก ทิศตะวันตก ติดต่อกับตำบลบ้านแป้น มีพื้นที่ทั้งหมด 16.29 ตารางกิโลเมตร มีทั้งหมดอยู่ 8 หมู่บ้าน แบ่งการปกครอง
โดยอยู่ในเขตรับผิดชอบของ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหนาม จำนวน 5 หมู่บ้าน     คือ หมู่บ้านหนองหนาม หมู่บ้านต้นปัน หมู่บ้านหนองเหียง หมู่บ้านกอข่อยและหมู่บ้านหนองเรือ อาชีพหลักคือ ทำนา, ทำสวน/ทำไร่, รับจ้าง ,เลี้ยงสัตว์ แต่เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงจากอดีต
ไปค่อนข้างมากจึงทำให้สังคมได้รับผลกระทบในด้านต่างๆ อยู่หลายด้าน โดยเฉพาะในด้านศิลปะพื้นบ้าน ประเพณี วัฒนธรรม วิถีชีวิตและภูมิปัญญาต่างๆ ถ้าไม่มีกระบวนการวางแผนเพื่ออนุรักษ์หรือสืบทอด ให้คงอยู่ต่อไปในสังคม ก็จะทำให้สิ่งที่ดีงามอันเกิดจากบรรพบุรุษได้สร้างสมไว้ อาจสูญหายไปจากสังคม โดยไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป และในด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้านนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรจะต้องได้รับการสืบทอด ให้คงอยู่ต่อไป
ชั่วลูกชั่วหลาน เพราะภูมิปัญญานั้น หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบ้านคิดขึ้นได้เองและนำมาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นเทคนิควิธี เป็นองค์ความรู้ของชาวบ้าน ทั้งทางกว้างและทางลึกที่ชาวบ้านคิดเอง ทำเอง โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหาการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น ได้อย่างเหมาะสม กับยุคสมัยความเหมือนกัน
ของภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ เป็นองค์ความรู้ และเทคนิคที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ซึ่งได้สืบทอดและเชื่อมโยงมาอย่าง
ต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในการเรียนรู้ภูมิปัญญาที่ได้สืบทอดกันมานั้น ต้องเรียนรู้จากผู้รู้ในชุมชนเพื่อให้ผู้สนใจ หรือคนรุ่นหลังสามารถเป็นผู้สืบสาน
ภูมิปัญญานั้นได้ ควรมีความเข้าใจรากเหง้าความเป็นวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญานั้น และควรมีการเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการศึกษาวิถีการดำรงชีวิต บนพื้นฐานของธรรมชาติที่เกี่ยวพันสอดคล้องกับวิถีชีวิต ในชุมชนนั้นด้วย

                                และตามที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยหริภุญชัย ได้ดำเนินการจัดประชุมหารือเพื่อสร้างเข้าใจในการ
ขับเคลื่อนทุนทางวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นและจัดเวที กระบวนการเรียนรู้เพื่อทบทวนทุนทางวัฒนธรรมชุมชนในพื้นที่จังหวัดลำพูน
ซึ่งผลจากการจัดทำเวทีและทบทวนองค์ความรู้ทุนทางวัฒนธรรมชุมชนในตำบลหนองหนาม ซึ่งประกอบด้วย ผู้นำชุมชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในทุกภาคส่วนแล้ว ได้ค้นพบปัญหาหรือความต้องการของชุมชนคือ ควรมีการอนุรักษ์ ภูมิปัญญาที่มีอยู่ดั้งเดิมในชุมชน ไม่ให้สูญหายไปและควรมี
กระบวนการวางแผน เพื่ออนุรักษ์หรือสืบทอดให้คงอยู่ต่อไปคือ ภูมิปัญญาด้านการตีเหล็ก ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาก็อาจจะทำให้เยาวชนหรือ
คนรุ่นหลังไม่ได้รับการสืบทอดภูมิปัญญาและนำไปใช้ประโยชน์สืบต่อจากบรรพบุรุษได้ หมู่บ้านต้นปัน (สันนาฮี้) ตำบลหนองหนาม ได้มีการสืบทอด
ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ โดยมีการสืบทอดภูมิปัญญาการตีเหล็ก มากว่า 3 ชั่วอายุคน ประมาณ 240 ปีที่แล้ว เริ่มจาก นายป้อ ยะบึง เป็นผู้ริเริ่มสืบทอดภูมิปัญญาในการตีเหล็ก เครื่องเหล็กที่ตีส่วนใหญ่ เป็นเครื่องมือทางการเกษตรประเภท มีด จอบ เสียม ขวาน เคียวเกี่ยวข้าว สิ่ว กรรไกร เริ่มจากการทำไว้ใช้เองในครัวเรือน และใช้แลกเปลี่ยนผลผลิตทางการเกษตรกับครอบครัวอื่น ด้านความเชื่อในการตี เหล็กการตีเหล็กมีข้อห้ามเช่นกัน คือไม่ตีเหล็กวันพระแรม 15 ค่ำ (ชาวบ้านถือเป็นวันเดือนดับ) ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะเป็นเหตุให้ไฟกินมีดจะทำ ให้เชื่อมเหล็กไม่ค่อยติด

                                 กลุ่มตีเหล็กบ้านต้นปัน สันนาฮี้ ได้เริ่มมีการจัดตั้งกลุ่มอย่างจริงจัง ในปี 2544 สืบเนื่องมาจากผู้รู้ในชุมชนด้านตีเหล็ก ได้ถ่ายทอด
ภูมิปัญญาให้กับคนในชุมชน จากเดิมที่ยังไม่มีการรวมกลุ่มกัน จากนั้นสามารถทำผลิตภัณฑ์ จากการตีเหล็กจำหน่ายได้ภายในหมู่บ้าน จึงได้รวมกลุ่มกัน จัดตั้งเป็นกลุ่มตีเหล็กบ้านต้นปัน นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้ทำเป็นอาชีพในชุมชน ปัจจุบันมีสมาชิกกลุ่มจำนวน 28 คน มี นายณรงค์ ยะบึง เป็นประธานกลุ่ม และถือว่าเป็นกลุ่มตีเหล็ก ที่มั่นคงที่สุดในจังหวัดลำพูน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกกลุ่มมีความรักและความสามัคคีกันในหมู่บ้าน แต่จากสภาพ
ปัญหาในปัจจุบัน คือเด็กและเยาวชนคนรุ่นหลัง ยังไมให้ความสนใจในการสืบสานภูมิปัญญานี้อย่างจริงจัง ซึ่งถ้าหากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง
ก็จะทำให้ภูมิปัญญาด้านตีเหล็ก ได้คงอยู่ต่อไปในชุมชนหรือเผยแพร่ไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียงได้และสามารถทำ เป็นอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้